altaltalt

altaltalt

 

(1) The Birth of Colonel Phra Sarasasana Balakhandh (Gerolamo Emilio Gerini)

(2) Cisano sul Neva

(3) The Gerini Family Tree

(4) Towards the Military Career

 

 

 


 

alt (1) The Birth of Colonel Phra Sarasasana Balakhandh (Gerolamo Emilio Gerini)

 

 

alt

 

เยโรลาโม เอมิลีโอ เยรินีถือกำเนิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 1 มีนาคม ค.ศ.1860 เวลาสองนาฬิกาที่เมืองชีซาโน ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆใน แคว้นลิกูเรีย ริเวียราตะวันตก เป็นบุตรชายคนแรกของนายคาร์โล ฟรานเชสโก เยรินี วัย 25 ปี กับนางมาเรีย เวโรนิกา รอสโซ วัย 22 ปี ทั้งสองเป็นชาวเมืองชีซาโน มาเรียคลอดเอมีลีโอ เยรินีที่บ้านของเยโรลาโม เบอร์นาโด เยรินีผู้เป็นปู่ของเขา บ้านอยู่บนถนนเรคตา (Recta) หรือถนนมัจจอเร (Maggiore) ปัจจุบันคือถนนอะเลสซานโดร โคลอมโบ ( Alessandro Colombo) เป็นทางที่แยกไป จตุรัสเชิร์ช (ปัจจุบันคือ Piazza IV Novembre) บ้านอยู่ในอาคารซึ่งปัจจุบันชั้นใต้ดินเป็นที่ตั้งของสาขาของธนาคารคัสซา ดิ ริซปามิโอ ดิ ซาโวนา (Cassa di Risparmio di Savona) ตระกูลเยรินีไม่ได้เป็นเจ้าของบ้านที่ตั้งอยู่ในอาคารนี้แล้ว สาธุคุณจิอาโคโม บรูเนนโก เป็นผู้ทำพิธีจุ่มศีลให้กับเอมีลีโอ เยรินีที่โบสถ์ซานตามาเรีย แมดดาลีนาที่เมืองชีซาโน และได้รับการตั้งชื่อ ชื่อที่ตั้งนั้นยาวอย่างน่ามหัศจรรย์ว่า เยโรลาโม (ตามชื่อต้นของปู่) อานโตนิโอ (ตามชื่อต้นของย่า ย่าเป็นบุตรีของ Antonio Trincheri) Bertolomeo (ตามชื่อของตา) Maddalo (ตามชื่อของยาย ยายของเขามีชื่อว่า มาเรีย แมดดาลีนา ซึ่งเป็นชื่อของนักบุญผู้พิทักษ์เมืองเช่นกัน) คาร์โล( ตามชื่อของพ่อ ของลุง และพ่อของทวด) และคำสุดท้ายคือ เอมีลีโอ ซึ่งน่าจะเป็นชื่อของเขาเองโดยแท้ มิได้ตั้งตามชื่อชื่อญาติคนใดคนหนึ่ง ต่อมาภายหลังเอมีลีโอได้ใช้นามว่าเอมีลีโอ เยโรลาโม เยรินี เอมีลีโอ

เยรินีถือกำเนิดหนึ่งปีก่อนวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1861 ซึ่งเป็นวันก่อตั้งประเทศอิตาลีเป็นทางการ เขาเกิดมาในฐานะเป็นราษฎรของพระเจ้าวิตตอริโอ เอมานูเอลที่ 2 แห่งซาวอย กษัตริย์ของแคว้นซาร์ดิเนีย ต่อมาพระองค์ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ของประเทศอิตาลี เมื่อเอมีลีโอ เยรินีมีอายุ 3 ขวบ เมืองชีซาโนได้เปลี่ยนชื่อเป็น ชีซาโน ซูล เนวา ตามพระบรมราชโองการของพระเจ้าวิตตอริโอ เอมานูเอลที่ 2 ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 8 เมษายน 1863 อันเป็นไปตามมติของคณะเทศมนตรีเมืองชีซาโนในวันที่ 3 สิงหาคม 1862 ทั้งนี้เพื่อมิให้เกิดความสับสนกับเมือง ชีซาโน จังหวัดแบร์กาโม (Bergamo) แคว้นลอมบาร์ดี เมืองนี้ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น ชิซาโน เบอร์กามาสโก (Cisano Bergamasco)

 


alt (2)Cisano sul Neva

 

alt

 

ชีซาโน ซูล เนวาเป็นตำบลเล็กๆ ซึ่งก่อตั้งโดยเมืองอัลเบงกา ในยุคกลาง ระหว่างปี 1272 – 1288  เพื่อเป็นเมืองป้อมปราการป้องกันอัลเบงกาให้พ้นจากการรุกราน ของมาร์ควิสแห่งคลาเวสานา และมาร์ควิสแห่งซุคคาเรลโล (Marquises of Clavesana และ Zuccarello) ต่อมาชีซาโนมีอิสระในการบริหารเมืองของตนเองตั้งแต่วันที่ 14 มิถุนายน 1797 ต่อมาฝรั่งเศสภายใต้จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 สนับสนุนให้สาธารณรัฐลิกูเรีย และเจนัวมีอิสระในการปกครองตนเอง อย่างไรก็ตามนับจากวันที่ 12 ธันวาคม 1814 อาณาจักรซาดิเนียก็ได้ยึดอำนาจการปกครองของสาธารณรัฐลิกูเรีย ในยุคที่อาณาจักรซาร์ดิเนียมีอำนาจปกครองอิตาลี เมืองชีซาโน ถูกรวมอยู่ในจังหวัด อัลเบงกา และต่อมาเมื่อเมืองอัลเบงกาถูกทอนอำนาจ ชีซาโนกลายเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดเยนัว ชีซาโน ซูล เนวาเป็นเมืองกสิกรรม มีการเพาะปลูกต้นมะกอก ถึงแม้ว่าเมืองนี้มีโรงสีข้าวสาลี โรงงานกลั่นน้ำมันพืช และโรงงานทำสปาเกตตี้ เมืองชีซาโนยังประสบกับปัญหาเศรษฐกิจ และ มีจำนวนประชากรลดลงเรื่อยๆ จากจำนวน 550 คนในปี 1840 เหลือ 400 คนในปี 1880 และจาก 380 คนในปี 1900 ลดลงเหลือ 365 คน ในปี 1920 ประชากรในวัยทำงาน (ทั้งชายหญิงและครอบครัว) อพยพไปตั้งถิ่นฐานในอเมริกาใต้ (อาร์เจนตินา และ อุรุกวัยเป็นส่วนใหญ่) และยังมีประชากรไปทำงานใช้แรงงานตามฤดูกาลในฝรั่งเศสตอนใต้ เช่นทำนาเกลือ เก็บเกี่ยวพืชผล ปัญหาเศรษฐกิจ ที่เกิดมาจากปัญหาของตลาดแลกเปลี่ยน “น้ำมันพืชกับข้าวสาลี” ที่ตั้งขึ้นโดยความร่วมมือของเมืองชีซาโน ซูล เนวา กับเมืองต่างๆในแถบปิเอมอนต์ (Piedmont) ประชากรที่ยังคงอยู่ในเมืองมีเพียงครอบครัวที่มีฐานะ เจ้าของไร่มะกอก เจ้าของโรงงานผลิตต่างๆ และผู้ที่มีสิทธิในการทำการค้ากับเมืองต่างๆในแถบปิเอดมองท์ สรุปได้ว่าเอมีลีโอ เยโรลาโม เยรินี เกิดและเติบโตในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านภูมิศาสตร์การเมือง และ เป็นยุคที่มีความสับสนวุ่นวายในด้านเศรษฐกิจและสังคม ทำให้ครอบครัวถูกบีบให้อพยพจากเมือง ตอนแรกมีการอพยพไปอยู่ที่เมืองตูริน ใน แถบปิเอมอนต์ (Piedmont) และต่อมาในแคว้น ลอมบาร์ดี – เวนิซ ซึ่งขึ้นอยู่กับอาณาจักรออสโตรฮังกาเรียนที่ปกครองโดยราชวงศ์แฮปสเบิร์ก อาณาจักรออสโตรฮังกาเรียนนี้เป็นศัตรูถาวรของกษัตริย์แห่งซาวอยของแคว้นซาร์ดิเนีย และเป็นศัตรูของกลุ่มริสออจิเมนโต (Risorgimanto) ต่อมากลุ่มศัตรูของอาณาจักรออสโตรฮังกาเรียน ได้รับความสนับสนุนจากจักรพรรดินโปเลียนที่สามได้ร่วมกันยึดอำนาจของอาณาจักรออสโตรฮังกาเรียนและก่อตั้งประเทศอิตาลี

 


alt (3) The Gerini Family Tree

  alt  alt

 

คาร์โล ฟรานเชสโก เยรินี บิดาของเอมีลีโอ เยรินี เกิดเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม ค.ศ.1834 ที่เมืองชีซาโน คาร์โลเป็นบุตรของ เยโรลาโม เบอร์นาโด เยรินี (1803 – 1885) กับอันโตเนีย ตรินเชริ (1804-1881) มาเรีย เวโรนิกา รอสโซมารดาของเอมีลีโอ เยรินี เกิดในปีค.ศ. 1838 ที่เมืองชีซาโนเช่นกัน มาเรียเป็นบุตรีของบาร์โตโลมิโอ รอสโซ กับ มาเรีย แมดดาลีนา คาร์โลกับมาเรีย แต่งงานเมื่อวันที่ 27 เมษายน 1859

คาร์โลได้รับการศึกษาที่โรงเรียนในเมืองชีซาโน และ อัลเบงกา เขาได้รับประกาศนียบัตรทางด้านเรขาคณิต มาเรียผู้ภริยาเป็นเพียงแม่บ้านธรรมดาที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ทะเบียนสมรสของคนทั้งสองและสูติบัตรของเอมีลีโอ เยรินียังมีอยู่ที่หอจดหมายเหตุของเมืองชีซาโน ซูล เนวา มาเรียได้เขียนกากบาดแทนการเซ็นชื่อในทะเบียนสมรส ในขณะที่คาร์โลเซ็นชื่อและนามสกุล แม้ว่าคาร์โล มีความรู้ทางด้านเรขาคณิต แต่เขาสืบทอดอาชีพเป็นช่างไม้เช่นเดียวกับบิดาของเขา ทั้งสองทำงานด้วยกันที่ร้านที่เยโรลาโม เบอร์นาโดเยรินีผู้บิดารับมรดกมาจากฟรานเชสโก เยรินี (1776-1827) ผู้เป็นปู่ของคาร์โล

ฟรานเชสโก เยรินี แต่งงานกับมาเรีย เบียงกา โนเบราสโก (1776-1860) บุตรีของเบอร์นาดิโน โนเบราสโก ฟรานเชสโก เยรินี รับมรดกร้านช่างไม้จาก คาร์โล เยรินี (1739-1814) ผู้บิดา และคาร์โล เยรินีเองรับมรดกจากจิอาโคโม เยรินี ผู้บิดาเช่นกัน ด้วยอาชีพช่างไม้ทำให้ครอบครัวตระกูลเยรินีมีฐานะดีพอใช้ ทำให้ เยโรลาโม เบอร์นาโด เยรินีและภรรยา อันโตเนีย ตรินเชริ สามารถส่งบุตรชายคาร์โล ฟรานเชสโก เยรินีให้ศึกษาทางด้านเรขาคณิตได้

เยโรลาโม เบอร์นาโด เยรินีมีบุตรสาวอีก 3 คนคือ วินเซนซีนา โกลอมบา และ สเปอแรนซีนา (Vincenzina Colomba and Speranzina) แม้ว่าในสูติบัตรและมรณะบัตรของ จามบาตติสตา เยรินี (Giambattisa Gerini) บุตรชายอีกคนหนึ่งของคาร์โล ฟรานเชสโก เยรินีผู้เสียชีวิตเมื่อมีอายุเพียง 5 วันในเดือนพฤษภาคม 1863 ระบุว่า คาร์โล ฟรานเชสโก เยรินี มีอาชีพช่างไม้ แต่อันที่จริงเขาทำงานเป็นช่างสำรวจ ดังเห็นได้จากในปี 1861-62 มาควิสโดเมนิโก โดนาโต ที่ 3 เดล คาเรตโต แห่งบาเลสตริโน Marquis (Domenico Donato III del Caretto of Balestrino) ได้มีบัญชาให้ คาร์โล ฟรานเชสโก เยรินีสร้างถนนยาว 2 กิโลเมตร และสร้างสะพานข้ามลำน้ำเพนนาไวรา (Pennavaira) ที่เมืองนาซิโน (Nasino)

ด้วยสภาพเศรษฐกิจของเมืองอัลเบงกาไม่ได้ให้โอกาสให้ช่างสำรวจหนุ่มศึกษาต่อได้ คาร์โล ฟรานเชสโก เยรินีจึงออกจากเมืองเพื่อแสวงโชคเช่นเดียวกับเด็กหนุ่มอื่นๆ ในเดือนมิถุนายน 1864 เขาอพยพไปทำงานที่เมืองตูรินในตำแหน่งผู้ช่วยหัวหน้ากองเทคนิคของบริษัทขนส่งน้ำดื่ม (Societa Anonima per la Condotta di Acque Potabili ) ในเดือนธันวาคม 1870 เขาลาออกจากบริษัทเพื่อศึกษาต่อทางด้านเทคนิคการกสิกรรม และยังคงอยู่ที่ตูรินพร้อมกับมาเรียผู้เป็นภรรยา และเอมีลีโอ เยรินีซึ่งขณะนั้นมีอายุได้ 4 ขวบ ในปี 1866 เขามีบุตรเพิ่มอีก บุตรที่เป็นผู้ชายชื่อวิตตอริโอ เยรินี (Vittorio Gerini) และบุตรที่เป็นหญิงชื่อ เอนริเกตตา เยรินี (Enrichetta Gerini)

คาร์โล ฟรานเชสโก เยรินี ได้ศึกษาต่อ และได้รับประกาศนียบัตรขั้นสูงทางด้านช่างสำรวจ (land surveyor) จากภาควิชาการเกษตรและการสำรวจ สถาบันอุตสาหกรรมและการอาชีพตูริน (Royal Industrial and Professional Institute of Turin) เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 1867 ขณะมีอายุ 33 ปี โดยได้คะแนนจากวิชาต่างๆ ดังนี้ การกสิกรรม (Agronomy) 9/9 เคมี 8/7 ก่อสร้าง 7/7 กฎหมาย 9/7 การวาด 6/6 การสำรวจ 9/7 การประเมิน 7/7 ฟิสิกส์ 9/9 ภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ 8/7 เรขาคณิต 7/7 วรรณกรรมอิตาเลียน 8/7 2 ปี

ต่อมาในวันที่ 21 มีนาคม 1869 เขาได้รับประกาศนียบัตร จาก Societa Cooperativa Torinese promotrice del Lavoro e del Progresso Materiale e Morale nella Classe Operaia เพื่อเป็นเกียรติที่เขาได้อุทิศตนเป็นครูสอนวิชาเคมีและฟิสิกส์โดยไม่รับค่าตอบแทนให้กับสมาคมนี้ (สมาคมตั้งขึ้นเมื่อ 17 กรกฎาคม 1868) คาร์โล ฟรานเชสโก เยรินี ได้สอบเพื่อขอรับประกาศนียบัตรทางด้านการสอนวิชากสิกรรมและสาขาอื่นๆ จากพิพิธภัณฑ์อุตสาหกรรมอิตาเลียน (Royal Italian Industrial Museum) ที่ตูริน เขาได้คะแนน 43/60 และได้เป็นบัณฑิตสาขาการกสิกรรม หรือการเกษตร ในวันที่ 14 ตุลาคม 1870 คาร์โล ฟรานเชสโก เยรินี ได้รับการแต่งตั้งจากสภาเมืองโวเกรา (Voghera) ให้เป็นอาจารย์สอนวิชากสิกรรมและการประเมินที่ดินที่สถาบันโวเกรา (Royal Professional Recognized Institute of Voghera) ประจำปีการศึกษา 1870-1871 โดยมีเงินเดือนๆละ 1800 ลีร์ และเขาได้รับการต่อสัญญาในปีการศึกษา 1871-1872 และ 1872-1873 ซึ่งเขาสอนวิชา ประวัติศาสตร์ และ สอนในห้องปฏิบัติการเคมี เมื่อเขาได้ตำแหน่งอาจารย์แล้ว เขาจึงย้ายครอบครัวมาอยู่ที่เมืองโวเกรา

ในปี 1872 เขามีบุตรสาวคนที่ ชื่อวินเชนซินา เยรินี (Vincenzina Gerini) แต่เธอเสียชีวิตในปี 1873 เมื่อมีอายุไม่ถึงขวบ ระหว่างที่ทำงานเป็นอาจารย์คาร์โลมีโอกาสแสดงความสามารถโดดเด่น เขาได้เขียนบทความวิชาการตีพิมพ์ในเอกสารตีพิมพ์ของคณะกรรมาธิการด้านการเกษตรของเมืองโวเกรา (District of Voghera’s Agricultural Committee) และต่อมาคณะกรรมาธิการด้านการเกษตรของเมืองโวเกราได้แต่งตั้งให้คาร์โลเป็นหัวหน้าของห้องปฏิบัติการไมโครสกอปิก (Microscopic) เพื่อทดสอบไข่ของตัวไหมและผีเสื้อเมื่อวันที่ มกราคม 1872 และระหว่าง 22 สิงหาคม – 15 กันยายน 1872 ในนามของสถาบันฯ คาร์โล ได้ไปบรรยายทางวิชาการด้านการเกษตรแก่ครูที่โรงเรียนประถมศึกษาในเมืองโวเกรา ในช่วงเวลานี้ เขาต้องแสดงความสนใจเหมืองน้ำแร่และน้ำต่างๆ ในท้องถิ่น หอการค้าของจังหวัดพาเวีย (Pavia) ซึ่งเมืองโวเกราขึ้นอยู่ได้ขอความเห็นของเขาเกี่ยวกับเรื่องคณะกรรมการการค้า (Trade Ministry’s Board of Inquiry) ที่ตั้งขึ้นในปี 1872 ในมิลาน และในปี 1873 อันโตเนีย ตรินเชริ คาร์โล ฟรานเชสโก เยรินี พร้อมกับผู้เชี่ยวชาญ เยโรลาโม มอลลา (Gerolamo Molla) ได้ดูแลโครงการที่เกี่ยวกับน้ำใต้ดิน (Preliminary Project for the deviation and connection of the subterranean waters that run in the substratum forming the valleys of the Staffora and Curone streams, and relative documents) ต่อมาในปีเดียวกันนี้ได้มีการตีพิมพ์เรื่องนี้พร้อมกับแผนที่โดย ยูเซปเป กัตติ (Giuseppe Gatti) พิมพ์ และในปี 1873 ณ กรุงปารีส ได้คาร์โล ตีพิมพ์รายงานเป็นภาษาฝรั่งเศสเรื่อง Mines de Soufre de Mont-Alfeo พร้อมกับแผนที่ของสถานที่ของเหมือง ชื่อ Carte Géologique et Minèralogique des terrains formants les environs du Torrent-Staffora, pres de Voghera โรงพิมพ์ที่มองต์มาร์ท (S. Bloc typography of Montmartre) ได้ตีพิมพ์แยกเป็นสองเล่มด้วย ซึ่งเป็นรายงานเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญชาวฝรั่งเศสชื่อไรมอนดิ เลสกูร์ และดูเปลสิส (Raimondi, Lescure และ Duplessis) เกี่ยวกับการนำเหมืองกำมะถันที่หุบเขาสตัฟฟอรา (Staffora) มาใช้ประโยชน์ และในปี 1875 บรูกีรา (Brughera) และ อาดิสซีที่เมืองซอนดริ (Ardizzi of Sondrio) โนตีพิมพ์รายงานเรื่องน้ำที่มีแร่ธาตุผสมของน้ำพุมองตาลฟิโอและน้ำที่มีแร่เกลือผสมของน้ำพุซาลิส (About the sulphureous-alkaline-chloriniodinated waters of the Montalfeo springs and the salt-(bromic)-iodic waters of the Sales springs) ซึ่งรายงานนี้ได้รับการเผยแพร่ไปต่างประเทศโดยมีการตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์อิล ซิตตาดิโอ (Il Cittadino) ของเมืองโวเกรา เมื่อวันที่ มิถุนายน 1876 หลังจากที่คาร์โลได้ย้ายจากเมืองโวเกราไปก่อนหน้าแล้ว ปี

ในครึ่งปีหลังของปี 1873 คาร์โล ฟรานเชสโก เยรินี ได้ชนะการแข่งขันเป็นอาจารย์ดีเด่น การกสิกรรม และ ประวัติศาสตร์ประยุกต์ (applied natural history) ที่จัดโดยสถาบันเทคนิคอัลเบอร์โต เดอ ซิโมนี (Royal Technical Institute “Alberto de Simoni) แห่งเมืองซอนดริโอ ในแคว้นลอมบาร์ดี และพระเจ้าวิตตอริโอ เอมานูเอลที่ 2 ทรงมีพระบรมราชโองการลงวันที่ 21 ธันวาคม 1873 แต่งตั้งให้เป็นอาจารย์ประจำตั้งแต่ 1 มกราคม 1874 ให้ได้รับเงินเดือนๆละ 1800 ลีร์ และขึ้นเป็น 2904 ลีร์ในปี 1886 เขาอยู่ในตำแหน่งจนถึงวันที่ 1 พฤษภาคม 1890 เมื่อขอลาป่วยในขณะที่มีเงินเดือน 1452 ลีร์

คาร์โล ฟรานเชสโก เยรินี ย้ายครอบครัวจากโวเกรา มาอยู่ที่เมืองซอนดริโอโดยทำงานในตำแหน่งผู้จัดการทางด้านเทคนิคผู้ซึ่งทุ่มชีวิตและวิญญาณให้กับงานในบริษัท วาลแตลลินา (Valtellina Oenological Company) ซึ่งตั้งอยู่ที่ถนนซิลเวีย เปลลิโก (Silvia Pellico) เขามีบ้านพักอยู่ในบริเวณโรงงาน ณ ที่นี่เขามีลูกเพิ่มอีก 3 คนคือ เคียรา เออเนสตา เยรินี (Chiara Ernesta Gerini) ซึ่งเกิดในปี 1877 อเลสซานดรา เยรินี (Alessandra Gerini) เกิดในปี 1879 และคนสุดท้ายชื่อ Ennio Gerini เกิดเมื่อ 28 พฤศจิกายน 1882 ในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 1883 มาเรีย เวโรนิกา รอสโซ ภรรยาของคาร์โลถึงแก่ชีวิตเนื่องจากโรคแทรกซ้อนจากการคลอดบุตรเมื่อมีอายุได้ 44 ปี คาร์โลต้องเลี้ยงดูลูกๆ 4 คน คือ วิตตอริโอ อายุ 16 ปี เอนริเกตตา อายุประมาณ 14 ปี เคียรา อายุประมาณ 5 ปี เอนริเกตตา เพิ่งมีอายุ 3 ขวบ และ เอนนีโย ซึ่งมีอายุไม่ถึงขวบ ในระยะนั้นบุตรคนโต เยโรลาโม เอมิลีโอ เยรีนี ซึ่งมีอายุ 22 ปี ได้มาอยู่ที่เมืองสยามแล้ว

คาร์โล ฟรานเชสโก เยรินี เป็นนักวิชาการกสิกรรมที่มีชื่อของเมืองซอนดริโอเขาได้รับการแต่งตั้งเป็นรองประธานกรรมาธิการทางด้านเกษตรกรรมของเมืองซอนดริโอ เขาเป็นคนมีกิจกรรมทางด้านไวน์ศึกษา และเป็นนักบริการ (ดังที่กล่าวมาแล้วว่า เขาเป็นผู้จัดการทางด้านเทคนิคของบริษัทวาลแตลลินา (Valtellina Oenological Company) ถึง 8 ปี ตั้งแต่ 21 มิถุนายน 1874 ถึงฤดูร้อนของปี 1881 เขาต้องลาออกเนื่องจากขัดกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสถานภาพของอาจารย์โรงเรียนรัฐบาล เมื่อลาออกจากงาน คณะกรรมการบริหารของบริษัทได้หนังสือชมเชยเป็นทางการในฐานะที่เขาเป็นนักธุรกิจ นักบริหาร (ดูได้จากผลงานด้านการบัญชี และการบริหารบริษัท) เป็นนักวิชาการ และนักวิจัยโดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิจัยในด้านการทำลายแมลงที่เป็นภัยต่อต้นองุ่น ในขณะเดียวกันคาร์โล ฟรานเชสโก เยรินีได้เป็นประธานคณะกรรมาธิการทางด้านการปลูกองุ่น และเป็นตัวแทนของรัฐในการทำงานวิจัยและป้องกันโรคแมลงในเขตจังหวัดซอนดริโอ เขามีผลงานเรื่อง Theoretic-Practic Instructions on the ways of recognizing and fighting the diffusion of the phylloxera in Valtellina ซึ่งผลงานนี้จัดพิมพ์โดยคณะกรรมาธิการป้องกันโรคแมลงในปี 1880 ที่เมืองซอนดริโอโดยมีบริษัทอาร์ดิซซีเป็นผู้พิมพ์ คาร์โลอยู่ในตำแหน่งกรรมาธิการตั้งแต่ 26 กรกฎาคม 1878 จนกระทั่งถึงแก่กรรมในปี 1890 คาร์โลยังเคยได้รับการเสนอชื่อให้เป็นหนึ่งในคณะกรรมาธิการภาษีการผลิตสุราตั้งแต่ 22 กันยายน 1880 ในปี 1883 เขามีผลงานเกี่ยวกับการปลูกองุ่น (Monograph on Vine-growing) อยู่ในหนังสือแอมพิโลกราฟฟิค บูลาติน (Ampelographic Bulletin) ฉบับที่ 16)ซึ่งพิมพ์โดย The Royal Topography ที่โรมในปี 1887 เขาจัดพิมพ์รายงานเพื่อเสนอต่อกระทรวงเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และการค้า เรื่องทุ่งเลี้ยงสัตว์อัลไพน์ในซอนดริโอ: ความสำคัญการเพาะปลูกและการปรับปรุง (Alpine Meadows and Pastures in the Province of Sondrio. Their importance, cultivation and improvement) ซึ่งตีพิมพ์ที่เมืองซอนดริโอ โดยบริษัทเอมอราแอนด์ซี (A. Mora & C. Typo-lithographic Works) ก่อนถึงแก่กรรมในปี 1890 เขาได้จัดพิมพ์ผลงานอีกชิ้นหนึ่งชื่อความจริงเกี่ยวกับเหล้าองุ่นจากเมืองพุเกลีย-การพิจารณาและการศึกษา (Truth about the wines from Puglia. Considerations and Studies) โดยตีพิมพ์โดยบริษัทแอลริซโซ (L. Rizzo Typography) ตั้งอยู่ที่จตุรัสสปิริตโต ซานโต (Piazza Spirito Santo) ในเมืองคาตาเนีย (Catania) ผลงานชิ้นนี้เคยตีพิมพ์ในหนังสือคาลาเบรียน-ซิคูเลียน ฟาร์เมอร์ (Calabrian-Siculian Farmer) ฉบับที่ 14 และ 15 (1889-1890) นอกจากนั้นเขาอาจเคยเป็นผู้เขียนบทความด้านไวน์ในวารสารของสถาบันโคเนกลิอาโน (Conegliano (Venetian) Royal School of Viticulture and Oenology)

เราไม่ทราบว่า คาร์โล ฟรานเชสโก เยรินี เสียชีวิตด้วยโรคอะไร แต่แน่นอนว่าต้องเป็นโรคที่ร้ายแรง เพราะเขาเสียชีวิตที่บ้านในเมือง ซอนดริโอ หลังจากที่ลาออกจากการเป็นอาจารย์สอนหนังสือ โดยทิ้งลูกๆ 5 คนจากทั้งหมด 6 คนที่ยังเด็กอยู่ซึ่งได้แก่วิตตอริโอ วัย 24 ปี เอนริเกตตา วัยประมาณ 22 เคียรา วัย 14 อเลสซานดรา วัย 11 และ เอนนีโยซึ่งยังไม่ครบ 8 ขวบ ภายหลังทั้งหมดกลับมาอยู่ที่เมืองชีซาโน ซูล เนวา

 

ที่มา : บทความโดยฟรังโก โนเบราสโก  แปลโดยรองศาสตราจารย์สุวิมล พิณโสภณ

 


 

 

alt   (4) Towards the Military Career


 

  alt  alt   alt

 

เมื่ออายุได้ ๕ ปี ได้เล่าเรียนหนังสือที่โรงเรียนเด็ก ณ เมืองอาลเบิงคา แล้วได้ไปเรียนหนังสือและวิชาที่โรงเรียนเมืองตูริน

พ.ศ.๒๔๑๖ตรงกับจุลศักราช ๑๒๓๕ ปีระกา เบญจศก จึงไปเข้าโรงเรียนวิชาชั้นสูง เมืองโซนตรีโอ ได้ศึกษาวิชาเลขและแผนที่ชั้นสูง ทั้งวิชาใน ชีปีวัน ซีวิล เอ็นยีเนียร์ และภาษาต่างประเทศ เป็นต้น อีก ๓ ปีตามข้อบังคับของโรงเรียนนั้น

พ.ศ.๒๔๑๙ ตรงกับจุลศักราช ๑๒๓๘ ปีชวด อัฐศก ได้สอบไล่วิชาเหล่านั้นได้รับรางวัลที่ ๑ เป็นชั้นวิเศษ และได้รับประกาศนียบัตรเป็นที่สรรเสริญความรู้ที่ได้ในการสอบไล่วิชานั้น และได้รับสัญญาบัตรเป็นช่างวัดแผนที่ (ผู้สำรวจ) คือ "เซอร์เวเยอร์" วันที่ ๑๒ สิงหาคม

พ.ศ.๒๔๑๙ ณ กรุงโรมแล้วได้สอบไล่วิชาที่จะได้เข้าโรงเรียนนายร้อยประเทศอิตาลี ได้สอบไล่ที่เมืองมิลันได้เป็นชั้นที่ ๑ จึงได้รับรางวัลตามกำหนดคือ ราชาธิปไตย โปรดให้ยกเงินค่าเล่าเรียนเสียครึ่งหนึ่ง ให้เสียแต่เพียงครึ่งหนึ่ง เพราะเหตุที่ได้แสดงความดีในการสอบไล่วิชาเป็นพิเศษ แล้วได้เข้ารับราชการเป็นนักเรียนในโรงเรียนนายร้อยใหญ่ที่เมืองโมเดนา อยู่ได้ปี ๑ มีการสอบไล่หนังสือและวิชาต่างๆ กับวิชาทหารได้ชั้นที่ ๒ ในลำดับนักเรียนทั้งปวง จึงได้รับตำแหน่งและเครื่องยศเป็นผู้บังคับแถว (หัวหน้าหมวด) และกำกับนักเรียนในห้องเรียนของตน

พ.ศ.๒๔๒๒ ตรงกับจุลศักราช ๑๒๔๑ ปีเถาะ เอกศก มีการสอบไล่วิชาทหารและวิชาอื่นๆ เพื่อได้รับสัญญาบัตรเป็นนายร้อย มีจำนวนนักเรียนสอบไล่ถึง ๕๐๐ คนเศษ ครั้นสอบไล่วิชาแล้วได้ชั้นที่ ๓ ในลำดับนักเรียนทั้งปวง จึงได้รับสัญญาบัตรเป็นนายร้อยตรีทหารบกประเทศอิตาลี สัญญาบัตรนั้นลงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๒๒ ตรงกับจุลศักราช ๑๒๔๑ ปีเถาะ เอกศก

ในหอจดหมายเหตุของโรงเรียนนายร้อยของเมืองโมเดนา มีเอกสารเกี่ยวกับผลการศึกษาของเยโรลาโม เอมีลีโอ เยรินี โดยคะแนนจะแสดงจำนวนเต็ม 20 ดังรายละเอียดต่อไปนี้

 

เมื่ออยู่ชั้นปีที่ 1 (1877-1878)

 

วรรณกรรมอิตาเลียน ได้คะแนน 18/19 (ถัวเฉลี่ย 18.50)  

ภาษาฝรั่งเศส 15/17 (ถัวเฉลี่ย 16) 

ฟิสิกส์ เคมี และแร่ 16/18 (ถัวเฉลี่ย17) 

ศิลปะแห่งสงคราม 12/15.50 (ถัวเฉลี่ย 13.75) 

วิชาปืนใหญ่เบื้องต้น 16.50/12 (ถัวเฉลี่ย 14.25) 

วิชาภูมิศาสตร์กายภาพ (Topography) 16/18 (ถัวเฉลี่ย 17) 

วิชาวาดภาพภูมิศาสตร์ (Topographic Drawing) 17.50/19 (ถัวเฉลี่ย 18.25) 

วิชาฝึกภาคสนามทางทหาร กลุ่ม 1 14/14 (ถัวเฉลี่ย 14) 

วิชาฝึกภาคสนามทางทหาร กลุ่ม 2 15/16 (ถัวเฉลี่ย 15.50) 

วิชาฝึกภาคสนามทางทหาร กลุ่ม 3 13/14 (ถัวเฉลี่ย 13.50) 

วิชาฝึกภาคสนามทางทหาร กลุ่ม 4 13.50/14 (ถัวเฉลี่ย 13.50) 

ความประพฤติ 17/18 (ถัวเฉลี่ย 15.10) 

ซึ่งคะแนนที่ได้นั้นจะมากกว่าคะแนนถัวเฉลี่ยที่ทำให้สอบผ่านไปอยู่ปีที่ 2ได้ เขาสอบได้ที่ 14 จากจำนวนผู้ที่ผ่าน 335 คน คือคะแนนอย่างต่ำที่สอบผ่านแต่ละวิชานั้นต้องไม่น้อยกว่า 10 คะแนน รวมถัวเฉลี่ยทั้งหมดของทุกวิชาแล้วจะต้องไม่ต่ำกว่า 11 ใครก็ตามที่ได้คะแนนน้อยกว่า 10 จะต้องมีการสอบซ่อม ทั้งนี้นักเรียนผู้ที่จะสอบซ่อมนั้นจะต้องได้คะแนนถัวเฉลี่ยทั้งหมดต้องได้ไม่น้อยกว่า 12 มิฉะนั้นนักเรียนจะต้องเรียนซ้ำชั้น

 

ชั้นปีที่ 2 (1879-79) รายงานผลการเรียนมีดังนี้ 

วรรณกรรมอิตาเลียน 15/20 (ถัวเฉลี่ย 17.50) 

ภาษาฝรั่งเศส 14.50/17.59 (ถัวเฉลี่ย16) 

ประวัติศาสตร์ 17/19 (ถัวเฉลี่ย 18) 

การตั้งค่าย 16.50/16 (ถัวเฉลี่ย 16.25) 

วิชาประวัติศาสตร์ทางด้านการทหาร 16/17 (ถัวเฉลี่ย 16.50) 

วิชาการบริหารและกฎหมายทหาร 14/17.50(ถัวเฉลี่ย 15.75) 

วิชาภูมิศาสตร์ทหาร 14/16 (ถัวเฉลี่ย 15) 

วิชาวาดภาพภูมิศาสตร์ (Topographic Drawing) 15/18 (ถัวเฉลี่ย 16.50) 

วิชาวาดผังค่าย (Fortification Drawing) 17/15 (ถัวเฉลี่ย 16) 

วิชาบัญชี 15/15 (ถัวเฉลี่ย15) 

วิชาฝึกภาคสนามทางทหาร กลุ่ม 1 17/18 (ถัวเฉลี่ย 17.50) 

วิชาฝึกภาคสนามทางทหาร กลุ่ม 2 13/14 (ถัวเฉลี่ย 13.50) 

วิชาฝึกภาคสนามทางทหาร กลุ่ม 3 12/14 (ถัวเฉลี่ย13) 

วิชาฝึกภาคสนามทางทหาร กลุ่ม 4 15/16 (ถัวเฉลี่ย 15.50) 

ความประพฤติ 18/19 (ถัวเฉลี่ย 18.50) คะแนนที่ได้นี้มากกว่าคะแนนสอบผ่านมาตรฐานที่จะได้รับประกาศนียบัตรจบการศึกษา

 เขาได้ที่ 19 จากจำนวนนักเรียน 315 คนที่สอบผ่านเป็นนายทหาร

 

แล้วได้รับราชการประจำกองพันที่ ๑๓ พลทหารราบ พักอยู่ที่เมืองเปรูเยียใกล้กรุงโรม ได้กระทำราชการในตำแหน่งนายร้อยตรีและได้ไปด้วยกองพันนั้นไปฝึกหัดการประลองยุทธใหญ่ ในสนามถึง ๒ ครั้ง และได้รับหน้าที่เป็นผู้สำรวจบ้านเมืองที่กองพันและกองพลน้อยซึ่งได้ไปฝึกหัดขบวนสงครามนั้นด้วย นายพลผู้บัญชาการจึงมีบัญชาให้ไปรับราชการเป็นนายทหารผู้ช่วยในกรมบัญชาการกองพลน้อย ขณะนั้นมีหน้าที่ตรวจทางและบ้านเมือง ทำแผนที่และเขียนแบบป้อมค่ายต่างๆ หลายประการ ได้รับราชการตลอดมาถึง พ.ศ.๒๔๒๔ ตรงกับจุลศักราช ๑๒๔๓ ปีมะเส็ง ตรีศก ในเวลานั้นยังไม่มีราชการทัพศึกเป็นโอกาสที่จะหาความชอบได้ จึงได้ขอไปรับราชการในกองทัพเมืองต่างประเทศ

 

เดือนมิถุนายน (ในปีนั้น) ได้รับอนุญาต จึงได้ออกไปเที่ยวตามประเทศอินเดียและประเทศพม่า ตลอดมาจนถึงประเทศสยาม